รูป การ์ตูน สต อ เบ อ รี่
เราควรพยายามดื่มน้ำให้เป็นนิสัยโดย สำหรับผู้ชายควรดื่มไม่น้อยกว่า 3. 7 ลิตร/วัน และหญิงควรไม่น้อยกว่า 2. 7 ลิตรต่อวัน หรือวิธีง่ายๆ ก็สังเกตสีของปัสสาวะ ถ้าหากปัสวะมีสีเข้มแสดงว่าเราดื่มน้ำน้อยไป ถ้าหากสีปัสาวะต้องมีสีเหลือจางๆสภาพใส ไร้มูกหรือสิ่งเจอปนถือว่าอยู่ในระดับปรกติ หวังว่าทุกคน คงจะให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำมากขึ้นและ ฝึกให้เป็นความเคยชินถึงแม้บางครั้งเราไม่รู้สึกหิวกระหายน้ำก็ตาม และลดการดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม กาแฟ ชานมไข่มุก มาดื่มน้ำเปล่าในอุณภูมิห้องปรกติเป็นประจำเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สำหรับคนที่ออกกำลังกาย ระหว่างออกควรจิบน้ำไปด้วยเป็นระยะ จิบ เพราะขณะที่เราออกกำลังกายร่างกายเราจะสูญเสียน้ำเพื่อระบายความร้อน ออกมาในรูปของเหงื่อ ถ้าเราไม่จิบน้ำอาจเกิดภาวะร่างกายขาดน้ำได้ง่าย Credit:
ของเหลวในร่างกายชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือด ( เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด) สารหรือโปรตีนชนิดทำให้เลือดแข็งตัว ( Fibrinogen) ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ สารอาหาร เอนไซม์ ฮอร์โมน สารต่างๆ และน้ำ ลำเลียงของเสียจากร่างกายไปทำลายที่ตับและขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ผิวหนัง และปอด 1. น้ำประมาณร้อยละ 90 - 93 มีหน้าที่ละลายสารแขวนลอยและละลายสารต่างๆ ทำให้เกิดการมีประจุและนำความร้อน 2. โปรตีนประมาณร้อยละ 7 - 10 ทำให้เลือดมีความหนืดและความดันออสโมซิส ช่วยปรับปริมาตรของเลือด รักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเป็นบาดแผลและพวกแอนติบอดี โปรตีนที่สำคัญคือ ไฟบริโนเจน อัลบูมิน และ โกลบูลิน 3. ก๊าซที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ ที่สำคัญ คือ ออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนประกอบของน้ำเลือดมาจากแหล่งต่างๆ เช่น น้ำและสารที่มีประจุได้มาจากการดูดซึมจากทางเดินอาหาร อัลบูมินสร้างมาจากตับ และของเสียจะได้มาจากกระบวนการเมตาโบลิซึมของทุกเซลล์ที่มีชีวิต 4. กลูโคส มีประมาณ 60 - 100 มิลลิกรัมใน 100 มิลลิลิตรของเลือด ทำหน้าที่เป็นแหล่งของพลังงานให้แก่เนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย 5. เอนไซม์ มีหน้าที่ช่วยเร่งปฏิกิริยาเคมีต่างๆ ถ้านำน้ำเลือดไปปั่นเพื่อให้เซลล์เม็ดเลือด เพลตเลต และโปรตีนแยกออกจากน้ำเลือดส่วนที่เหลือจะเป็นน้ำใสๆเรียกว่า ซีรัม (serum) น้ำเลือดทำหน้าที่ลำเลียงอาหารที่ย่อยแล้ว เกลือแร่ ฮอร์โมน แอนติบอดี ไปให้เซลล์ที่ส่วนต่างๆของร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยรักษาความเป็นกรด - เบส สมดุลของน้ำและรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย
2 x ดัชนีมวลกาย) + (0. 23 x อายุเป็นปี) – 16. 2% ปริมาณไขมันในร่างกายสำหรับผู้หญิง = (1. 23 x อายุเป็นปี) – 5. 4 ในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัวปกติจะมีปริมาณไขมันในร่างกาย (Body Fat) ประมาณ 15–20% ในผู้ชาย ประมาณ 25–30% ในผู้หญิง ปริมาณเปอร์เซ็นไขมันที่สูงเกินปกติ จัดว่าอ้วน วิธีคำนวนดัชนีมวลกาย (body mass index-BMI) วัดความอ้วนด้วยค่าดัชนีมวลกาย ตามสูตร น้ำหนัก (กก. ) / ส่วนสูง (ม. ) x ส่วนสูง (ม. ) เช่น คนที่น้ำหนัก 75 กก. และสูง 170 ซม. (1. 7 เมตร) จะมีดัชนีมวลกาย = (75 หาร 1. 7) แล้ว1. 7 อีกครั้ง = 25. 9 กก. ต่อ ตารางเมตรอยู่ในเกณฑ์อ้วนระดับ 1 สำหรับค่าดัชนีมวลกายที่เหมาะสมมีดังนี้ • ต่ำกว่า 18 ถือว่าผอม • 18. 5 - 22. 9 รูปร่างปกติ • 23. 0 - 24. 9 รูปร่างอ้วน • 25. 0- 29. 9 อ้วนระดับ 1 • 30 ขึ้นไป อ้วนระดับ 2 เช็ครูปร่างด้วยรูปภาพ แบบง่ายๆ เปรียบเทียบความน้ำหนักตัวโดยเฉลี่ยสูงกับน้ำหนักตัวโดยเฉลี่ย ผู้ชาย น้ำหนักตัวที่เหมาะสม = ความสูง (เซนติเมตร) ลบ 100 เช่น ผู้ชายที่สูง 170 เซนติเมตร (ซม. ) เมื่อนำมาลบด้วย 100 จะได้ผลลัพธ์ 70 ตัวเลข 70 คือ น้ำหนักตัวที่เหมาะสม ผู้หญิง น้ำหนักตัวที่เหมาะสม = ความสูง (ซม. )
| วันที่ 20 มีนาคม 2557 | อ่าน: 27, 130 "70 เปอร์เซ็นต์ ของร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำ" จากข้อความข้างต้น น่าจะทำให้เราเห็นความสำคัญของน้ำเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ทุกหนแห่ง น้ำในร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ น้ำที่ประกอบอยู่ในเซลล์ 60 เปอร์เซ็นต์ ที่อยู่นอกเซลล์ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ และที่อยู่ในเนื้อเยื่อ หรือเลือดอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทำให้มนุษย์ต้องการน้ำตกวันละประมาณ 2–3 ลิตร โดยจะมีการขับน้ำออกจากร่างกายในลักษณะของปัสสาวะ เหงื่อ อุจจาระ และลมหายใจ ซึ่งจะขับออกทางปัสสาวะวันละประมาณครึ่งลิตร ถึง 2. 3 ลิตร น้ำทำหน้าที่อะไร?
สูดหายใจเต็ม ๆ อันนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนคงจะคุ้นเคยกันดี การหายใจเต็มที่ จะทำให้ร่างกายรับ ออกซิเจน ได้มากขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่เราเครียดจะยิ่งรู้สึกถึงความแตกต่าง เพราะตอนเราเครียด กล้ามเนื้อร่างกายจะเกร็ง ทำให้ระดับ ออกซิเจน ลดลง คนที่รู้สึกอยากผ่อนคลายความเครียด ก็หายใจเข้าลึก ๆ ยาว ๆ (หายใจเข้าท้องป่อง กลั้นไว้ แล้วปล่อยค่อยๆ ออก) ออกซิเจน จะเข้าไปเต็มปอด ออกซิเจน ในเลือดก็จะเพิ่มขึ้น จะรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก 2. ออกกำลังกายเป็นประจำ ควรหมั่นออกกำลังกายให้ได้ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที จะช่วยให้ร่างกายเพิ่มปริมาณ ออกซิเจน ได้มากขึ้น แถมยังช่วยทำให้หัวใจทำงานมากขึ้น และ เลือดก็จะถูกสูบฉีดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในร่างกายเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า 3. อบความร้อน ความร้อนจากห้องซาวน่า การสตรีม หรือแม้แต่การแช่น้ำร้อน จะช่วยให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น ช่วยส่งผ่าน ออกซิเจน ในเลือดไปยังส่วนต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะความร้อนนี้ จะทำให้หลอดเลือดและเส้นเลือดฝอยบริเวณผิวขยายตัว ที่สำคัญยังมีส่วนทำให้กล้ามเนื้อและการหายใจผ่อนคลายมากขึ้น 4. นวด ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งนี้ก็ช่วยเพิ่มปริมาณ ออกซิเจน ในร่างกายให้เราได้ เพราะตอนที่เรารู้สึกปวดเมื่อย ก็หมายความว่ากล้ามเนื้อของเรากำลังหดตัว เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี กล้ามเนื้อจะขาด ออกซิเจน และสารอาหาร ดังนั้นให้ใช้มือ นวดเป็นวงกลมเล็กๆ ทั่วบริเวณกล้ามเนื้อที่ตึง กดด้วยแรงพอดีๆ ตรงจุดที่ปวด ก็จะรู้สึกดีขึ้น 5.
ค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันนั้นเป็นตัวที่ใช้กำหนดทิศทาง ในการวางแผนลดน้ำหนัก ในส่วนของการลดไขมัน การทราบปริมาณไขมันนั้นมีความจำเป็นมากๆในการกำหนด ระยะเวลา ความเข้มข้น รวมถึงแนวทางในการจัดโปรแกรมการฝึกและโภชนาการ กล่าวคือ เมื่อเราทราบปริมาณไขมันก่อนที่จะทำการลด เช่น ชายคนหนึ่ง นน. ไขมัน 15% ต้องการลดไขมันในร่างกายลงเหลือ 10% นั้นสามารถบอกผู้ฝึกได้ว่า ผู้ฝึกต้องลดไขมันลง 5% จากน้ำหนักตัว 80กก. นั่นหมายถึงผู้ฝึกต้องลดน้ำหนักไขมัน 4กก. (ซึ่งความเป็นจริงอาจต้องลดน้ำหนักมากกว่านี้เพื่อลดไขมันลง อัตราส่วนคร่าวๆอยู่ที่ 1. 3 -1. 4 ดังนั้นผู้ฝึกต้องลดน้ำหนักประมาณ 4 x 1. 4 = 5. 6กก. นั่นเอง) ซึ่งผู้ฝึกต้องใช้เวลาเฉลี่ย 5. 6-11. 2สัปดาห์ในการลดไขมันโดยคำนวนจากอัตราการลดที่พอดี ที่ 0. 5 – 1กก. /สัปดาห์ นั่นเอง 6. ค่าของความหน้าชั้นผิวหนัง Skinfold นั้นสามารถบอกถึงการพัฒนาในแต่ละส่วนหลักๆของร่างกายได้ นอกจากผลลัพท์ของปริมาณไขมันแล้ว การวัดความหนาชั้นผิวหนังโดยลำพังนั้น สามารถบอกอะไรเราได้มากมายเช่นกัน เช่น การวัดในจุดต่างๆของร่างกายทำให้ทราบว่าบุคคลนั้นๆ มีแนวโน้มที่จะสะสมไขมันไว้ที่บริเวณไหนของร่างกาย ในกรณีที่ผู้ฝึกพบว่าภายหลังจากการเพิ่มนน.
เคล็ดลับปอกไข่ยังไง? ให้ง๊ายง่าย ไม่ลำบากอีกต่อไป | Maggi TH 86 กิโลแคลอรี โปรตีน 29. 74 กรัม ไขมัน 37. 05 กรัม คาร์โบไฮเดรต 55. 47 กรัม ไฟเบอร์ 6.
เลือดไหลจากบาดแผล เลือด เป็นของเหลวชนิดหนึ่งในร่างกาย ประกอบด้วย น้ำเลือด เกล็ดเลือด เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว ร่างกายเรามีเลือดอยู่ประมาณ 5 ลิตรหรือคิดเทียบกับน้ำหนักตัวเท่ากับร้อยละ 7-8 ของน้ำหนักตัว [1] ส่วนประกอบของเลือด [ แก้] เมื่อนำเลือดไปปั่นเหวี่ยงเพื่อทำการแยกชั้น จะพบส่วนประกอบของเลือดต่าง ๆ ดังนี้ น้ำเลือด (พลาสมา) [ แก้] น้ำเลือดหรือ พลาสมา เป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่มีอยู่ร้อยละ 55 ของเลือดทั้งหมดมีสภาวะเป็นเบส ค่าพีเอช 7.